วิธีแก้ปัญหาธุรกิจ Business Problem Solutions
วิธีแก้ปัญหาธุรกิจ เมื่อยอดขายลดลงโดยไม่คาดคิดหรือมีแนวโน้มที่ยอดขายจะลดลงอย่างต่อเนื่อง เราจะพบว่าธุรกิจจะเผชิญกับปัญหาต่างๆ อย่างไม่น้อย
บางครั้ง ผู้จัดการหรือเจ้าของกิจการก็ไม่รู้สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาที่ส่งผลต่อยอดขายได้ พวกเขาอาจจะให้ความสำคัญกับการขายและการบริการต่อลูกค้า
แต่ก็ยังไม่พบว่ายอดขายไม่เพิ่มขึ้น สาเหตุของปัญหาในยอดขายบางครั้งอาจไม่ใช่สิ่งที่คุณคาดคิด
ด้วยเหตุนี้ เวลานี้เราจึงจำเป็นต้องหาสาเหตุและหาวิธีการจัดการกับปัญหานี้ ในบทความนี้ topspeech ได้รวบรวมแนวทางในการแก้ปัญหาไว้ให้แล้ว
1. สำรวจปัญหาและจุดบกพร่องภายในทีมขาย
การบริหารกลุ่มขายคือการจัดการกับกลุ่มคนที่ขายสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้า มีหลายองค์ประกอบที่สำคัญในการบริหารกลุ่มขาย เช่น การวางแผนการทำงาน การสื่อสารกับลูกค้า,
การออกไปพบลูกค้า หรือการติดตามลูกค้าตามวิธีการขายต่างๆ การตรวจตราข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในกลุ่มขายเป็นสิ่งสำคัญที่ประธานและผู้จัดการฝ่ายการขายควรให้ความสำคัญ
เพราะการติดตามอย่างสม่ำเสมอช่วยให้เห็นภาพรวมของการเจริญเติบโตหรือการลดลงของยอดขายได้
ดังนั้น การจัดการกลุ่มขายไม่เพียงแต่เกี่ยวกับวางแผนและการขายสินค้า แต่ยังเกี่ยวข้องกับการติดตามลูกค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ทราบถึงความต้องการ
และปัญหาของพวกเขาได้เร็วที่สุด เพื่อปรับปรุงและพัฒนาการขายให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต
ความสำคัญของการเข้าใจวิธีการขายในธุรกิจคือ การทราบถึงวิธีการเพิ่มลูกค้า สาเหตุที่ทำให้ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าหรือบริการ เช่นการติดต่อลูกค้า
และวิธีการปิดการขาย รวมทั้งการดูแลลูกค้าหลังการขายด้วย เมื่อมีการรายงานแนวทางการขายที่ไม่ชัดเจนหรือขาดข้อมูลสำคัญ
อาจส่งผลให้การแก้ปัญหาช้าลงหรือสร้างปัญหาเพิ่มเติมได้ เช่น การละเมิดความเป็นธรรมในการรายงาน ซึ่งอาจทำให้เกิดสถานการณ์ที่ซับซ้อนและลูกค้าสูญเสียได้
จึงสำคัญที่ผู้บริหารและผู้จัดการฝ่ายการขายจะต้องใช้เวลาในการแก้ไขปัญหาและจัดการกับสถานการณ์เหล่านี้ให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อยอดขายของธุรกิจในระยะยาว
ถ้าบริษัทใช้ Readyplanet R-CRM เพื่อช่วยในการบริหารกลุ่มพนักงานขาย ก็คือ ผู้บริหารและผู้จัดการขายจะสามารถดูกิจกรรมการขายสินค้าได้เร็วขึ้น
พวกเขาสามารถเห็นข้อมูลรายงานการขายทันที และสามารถตรวจสอบยอดขายและวิธีการขายสินค้าของทีมขายได้ให้ครบถ้วน
การทำเช่นนี้ช่วยให้พวกเขาเห็นแนวโน้มหรือปัญหาในการขายได้เร็วขึ้น และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วในทันทีค่ะ
2. ดูข้อมูล Customer Insights ให้มากขึ้น
บางครั้งธุรกิจอาจต้องคิดกันในเรื่องว่าใครคือลูกค้าที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของเรา? บางครั้งเราอาจไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ทันที
เวลาผ่านไป เราค่อยๆเรียนรู้เกี่ยวกับลูกค้าของเรามากขึ้น โดยการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้าหรือ Customer Insights
จะช่วยให้เราเข้าใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เราไม่ควรเพียงแค่เรียนรู้จากข้อมูลพื้นฐานที่ได้มา แต่ควรพิจารณาและเข้าใจพฤติกรรมการตัดสินใจของลูกค้าแต่ละคน
ลูกค้าที่มีสมรรถนะสำหรับการซื้อสินค้า คือคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจซื้อ และมองหาสิ่งที่ทำให้พึงพอใจ เช่น คุณภาพของสินค้าหรือบริการ และอื่นๆ
เราควรใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อวางกลยุทธ์การขายที่เหมาะสมและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ในที่สุด
การใช้โปรแกรมที่เรียกว่า CRM ช่วยธุรกิจในการเข้าใจลูกค้าได้ดีขึ้น เริ่มต้นที่การเก็บข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับลูกค้า
เช่น ชื่อ, เบอร์โทร, และอีเมล รวมถึงการที่ลูกค้าซื้อสินค้าอะไรบ้าง เมื่อซื้อ, และจำนวนเงินที่ใช้ซื้อด้วย นอกจากนี้ยังรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นขณะที่ลูกค้าซื้อสินค้าด้วย
เมื่อเรามีข้อมูลเหล่านี้ครบถ้วน เราสามารถใช้มันในการวางแผนการทำงานให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้นอย่างมาก! และยังช่วยให้เราสามารถทำนายและวางแผนในอนาคตได้อีกด้วยค่ะ
3. มองหาวิธีการสร้างโอกาสทางการขายใหม่ ๆ
เทคโนโลยีที่อัพเกรดอยู่เสมอนี้ทำให้การขายเป็นไปได้มากขึ้น! สิ่งที่คุณต้องทำคือเข้าใจความต้องการและความลับของลูกค้า
เลือกกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการของเรา ด้วยการใช้ช่องทางต่างๆ เช่น เขตพื้นที่การขาย, แพลตฟอร์มออนไลน์
และโอกาสที่ลูกค้ากำลังเผชิญอยู่ เพื่อให้ประสบการณ์ของลูกค้าดียิ่งขึ้น เรายังใช้วิธีออนไลน์อื่นๆ เช่น โซเชียลเน็ตเวิร์ค เพื่อเชื่อมโยงกับลูกค้า
และค้นหาลูกค้าใหม่ ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม เช่น การใช้เนื้อหาและกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ เพื่อโปรโมทและประสานงานกับธุรกิจของเรา
โดยกระตุ้นความสนใจและการรับรู้ให้ลูกค้าพึงพอใจและเข้าใจความสำคัญของผลิตภัณฑ์และบริการของเราและมองหาโอกาสในการต่อยอดไปอีกด้วย
4. ใส่ใจการติดตามการขายและความต้องการของลูกค้า
วิธีแก้ปัญหาธุรกิจ การขายสินค้าหรือบริการโดยไม่ต้องพูดคุยกับลูกค้าเป็นสิ่งที่น่าทึ่งและสำคัญอย่างยิ่ง! ความสำเร็จในการขายไม่ได้อยู่แค่ที่การโยงลูกค้าให้ซื้อสิ่งที่เราขาย
แต่ยังอยู่ที่การเข้าใจความต้องการและความพอใจของลูกค้าด้วย เมื่อเราสามารถทำได้นั้น เราจะสร้างความรู้สึกที่ดีและความไว้วางใจให้กับธุรกิจของเรา
การให้บริการที่ดีและการสร้างความพอใจให้กับลูกค้าจะเป็นแรงผลักดันที่มีประสิทธิภาพในการสร้างฐานลูกค้าที่คงทนและยั่งยืนในระยะยาว
การสอบถามและการปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือบริการของเรามีความสำคัญ เราต้องการที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการของเราดียิ่งขึ้นตามความต้องการของลูกค้า
เราสามารถถามเพื่อทราบว่าลูกค้าพอใจกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของเราหรือไม่ และถามเพื่อทราบว่ามีคุณลักษณะหรือบริการเพิ่มเติมที่ลูกค้าต้องการหรือไม่
เรายังสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ด้วย เพราะถ้าเราเฉยเมยกับลูกค้าอาจทำให้เกิดความไม่พอใจและอาจส่งผลทำให้ลูกค้าไม่พอใจและอาจทำให้เกิดผลเสียอื่นๆตามมาได้
เช่น เมื่อลูกค้าพบปัญหาและบ่นถึงบริการของเราที่เป็นปัญหาผ่านทางออนไลน์ ถ้าเราไม่ทำอะไรเพื่อแก้ไข อาจทำให้ลูกค้าเลิกใช้บริการ
แต่ถ้าเราติดต่อเพื่อขอโทษหรือแก้ไขปัญหา ลูกค้าจะรู้สึกดีขึ้นและอาจยังเลือกใช้บริการของเราต่อไปได้ด้วย
การติดต่อและการปรับปรุงนี้เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความพึงพอใจและความเชื่อมั่นของลูกค้าในผลิตภัณฑ์หรือบริการของเราอีกครั้ง
5. ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคนี้
ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะได้รับความนิยมมากแค่ไหน หรือมียอดขายมากเพียงใด ควรใส่ใจถึงพฤติกรรมของลูกค้าเสมอ โดยเฉพาะในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เพียงแค่ลูกค้าเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กน้อย พวกเขาอาจรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์และบริการของคุณไม่สำคัญอีกต่อไป ซึ่งอาจทำให้ยอดขายลดลงได้
การปรับปรุงสินค้าและบริการตามแฟชั่นและพฤติกรรมของลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่ธุรกิจไม่ควรละเลย เมื่อลูกค้ามีความต้องการและพฤติกรรมการซื้อสินค้าที่เปลี่ยนแปลง
ธุรกิจจึงต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อนั้น การพัฒนาแบบการซื้อสามารถช่วยเพิ่มยอดขายได้โดยการสร้างวิธีการซื้อที่สะดวกสบายให้กับลูกค้า
ตัวอย่างเช่น การพัฒนาจากร้านอาหารที่ลูกค้าไม่ต้องนั่งที่ร้านและสามารถซื้อแบบนำกลับบ้านหรือผ่านหน้าต่างรถ (Drive-thru) ในช่วงเวลาที่คนเร่งรีบ ที่จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้าได้มากขึ้น
6. ปรับเปลี่ยนเทคนิคการขายให้มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นเสมอ
การขายสินค้าหรือบริการไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเสมอไป การเป็นพนักงานขายไม่ได้หมายความว่าต้องมีประสบการณ์มากมายเท่านั้น
เพราะบางครั้งการทำงานในการขายต้องใช้สมองและความคิดอย่างเหนือชั้นด้วย
พนักงานขายต้องมีเครื่องมือที่เหมาะสมและการแสดงออกที่ดีเมื่อไปพบลูกค้า ต้องมีแผนการขายที่ดีและยืดหยุ่น
เพื่อให้สามารถปรับปรุงวิธีการขายใหม่ๆได้ตามความเหมาะสม
ยกตัวอย่างเช่น การใช้ระบบ CRM ช่วยให้การจัดการงานขายมีระบบการจัดการที่เป็นระเบียบมากขึ้น
มีรายชื่อลูกค้าที่อยู่ในระบบ CRM เมื่อมองผ่านฟีเจอร์ Sales Pipeline จะเห็นได้ชัดเจนว่าลูกค้าแต่ละรายอยู่ในขั้นตอนการขายอย่างไร และบางรายก็อาจจะใกล้การปิดการขายแล้ว
บางครั้งเราอาจต้องใช้เคล็ดลับในการโน้มน้าวลูกค้าให้ตัดสินใจเร็วขึ้น เพื่อให้มีประโยชน์ต่อ Sales Pipeline
โดยจะช่วยให้กลุ่มขายมีวิสัยทัศน์ในการเลือกลูกค้าที่เหมาะสมสำหรับการขยายยอดขายของตนเองได้ดีขึ้น
7. ไม่ควรมองข้ามคู่แข่ง และควรหาจุดแข็งของธุรกิจให้เจอ
นี่คือเรื่องราวเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมในการเปิดร้านใหม่ที่มีผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดโดยที่ไม่รู้ว่าคู่แข่งจะเปิดในขณะเดียวกันหรือไม่ ในกรณีนี้
คุณควรที่จะไม่พลาดโอกาสที่จะเตรียมตัวให้พร้อมอย่างดีที่สุดโดยการทำให้สินค้าหรือบริการของคุณมีคุณภาพเหนือคู่แข่ง
นอกจากนี้ คุณยังควรที่จะตั้งตัวให้เป็นคู่ต่อสู้ที่หาได้ยากโดยการให้บริการที่ดีและนำเสนอสิ่งที่ทำให้คุณต่างไปจากคู่แข่ง
คุณควรมองหาข้อได้เปรียบของธุรกิจและพัฒนามันต่อไปเพื่อรักษาลูกค้าเดิมและดึงดูดลูกค้าใหม่เข้ามาใช้บริการด้วย
นอกจากนี้ คุณยังควรที่จะโชว์จุดเด่นของธุรกิจของคุณให้เหนือกว่าคู่แข่งเพื่อเป็นหัวหน้าในวงการ เช่น ร้านกาแฟบางร้านอาจจะมีรสชาติที่ไม่สามารถเปรียบเทียบได้
แต่พวกเขาก็อาจมีบริการที่ยอดเยี่ยมและพื้นที่สะดวกสบายที่ทำให้คุณเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและสร้างยอดขายได้มากขึ้นได้
8. เลือกใช้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น
ถ้าคุณไม่สามารถจัดการข้อมูลและจำนวนการขายได้ดีพอ เวลาของคุณจะไม่เพียงพอที่จะทำงานอื่นๆได้ และคุณอาจไม่สามารถใช้ข้อมูลอย่างเต็มประสิทธิภาพได้ด้วย
วิธีที่ดีที่สุดคือการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยจัดการธุรกิจของคุณอัตโนมัติ อย่างเช่น การใช้ระบบ CRM เพื่อจัดการกลุ่มลูกค้าของคุณให้มีประสิทธิภาพ
R-CRM คือระบบที่ช่วยในการจัดการกลุ่มขายให้ง่ายขึ้น โดยคุณสามารถติดตามการทำงานของพวกเขาได้อย่างมีระบบ
และดูรายงานก่อนทำงานและหลังทำงานได้ทันทีด้วย R-Insights นี้ โดย R-CRM ยังช่วยให้ธุรกิจมีความเข้าใจเรื่อง Customer Insights มากขึ้น
เพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายและดีขึ้น รวมถึงการครอบคลุมเครื่องมือการทำงานต่างๆ เช่น การจัดการกับลูกค้าตามวัตถุประสงค์
การเก็บข้อมูลลูกค้าและการกระทำการซื้อ ทำให้คุณประหยัดเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูล และมีเวลาในการศึกษาพฤติกรรมของลูกค้าเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ
นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า R-Chat เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบคำถามและติดต่อกับลูกค้าได้อย่างสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น
เราสามารถใช้ R-Chat เพื่อพูดคุยกับลูกค้าที่มาจากหลายๆ แหล่งเช่นเว็บไซต์ ไลน์ OA หรือ Facebook Messenger ได้ในที่เดียว
ซึ่งทำให้งานของเราเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เรายังสามารถบันทึกข้อมูลลูกค้าในระบบ R-CRM เพื่อให้เราสามารถติดตามลูกค้าและตอบคำถามของเขาได้โดยรวดเร็ว
นอกจากนี้เรายังสามารถปิดการขายและสร้างยอดขายได้มากขึ้นด้วยความสะดวกสบายที่ R-Chat นำเสนอให้เราได้ใช้งาน
สรุป
ยอดขายที่ตกลงไม่จำเป็นต้องเป็นประสบการณ์ไม่ดีต่อธุรกิจเสมอนั้น เราสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้โดยการค้นหาสาเหตุที่ทำให้ยอดขายลดลง
โดยการตรวจสอบปัญหาภายในองค์กรที่อาจมีส่วนร่วมในการลดยอดขายได้เช่นกัน
บางครั้งการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ก็อาจมีผลต่อยอดขาย เช่นการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยในการทำงาน หรือการทำงานร่วมกันของทีมขาย
สำคัญที่สุดคือการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อการซัพพอร์ตงาน รวมถึงการฝึกอบรมทีมขายให้มีประสิทธิภาพ
การใช้ระบบ Readyplanet R-CRM เป็นตัวช่วยในการบริหารจัดการทีมขาย ช่วยให้ทุกคนเข้าใจการทำงานในขั้นตอนการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น