การ สอนลูกให้กล้าพูดในห้องเรียน ไม่ได้แปลว่าต้องดันลูกให้ไปพูดเก่งแบบนักโต้วาที หรือฝึกพูดจนเป๊ะทุกประโยค แต่คือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เขากล้าสื่อสารในแบบของตัวเอง วิธีที่นักพูดหลายคนแนะนำคือให้เริ่มจากสิ่งง่าย ๆ ใกล้ตัว เช่น พูดเรื่องที่เขาสนใจ ให้เขารู้ว่าการพูดผิดไม่ใช่เรื่องผิด และค่อย ๆ ช่วยเขามีประสบการณ์เล็ก ๆ อย่างการยกมือแสดงความคิดเห็น ขณะที่บางบ้านพยายามผลักดันลูกด้วยความกดดัน กลับกลายเป็นว่าเด็กยิ่งเก็บตัวมากขึ้น เราเลยต้องเริ่มจากความเข้าใจพื้นฐานว่า นักพูดมืออาชีพ หลายคนในวันนี้ ก็เคยเป็นเด็กขี้อายมาก่อน แต่พวกเขากล้าเปิดใจฝึก กล้าพลาด แล้วจึงพัฒนาเป็นนักพูดที่กล้าสื่อสารในที่สุด
วิธีที่ 1 สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ลูกได้ลองผิดลองถูก
หลายครั้งที่เด็กไม่กล้าพูด ไม่ใช่เพราะเขาไม่รู้ แต่เพราะกลัวถูกหัวเราะหรือถูกตำหนิ ความกลัวแบบนี้ติดตัวไปถึงโตได้เลย วิธีง่ายที่สุดที่นักพูดใช้คือ การสร้างพื้นที่ปลอดภัย ในบ้านหรือในวงสนทนา พ่อแม่ต้องเป็นคนแรกที่รับฟังโดยไม่ขัดจังหวะ ไม่รีบแก้คำพูดลูก แค่ฟังและยิ้มก็พอ แนะนำเล็ก ๆ ได้แต่ต้องไม่กดดัน ให้ลูกรู้ว่าเขาสามารถพูดสิ่งที่คิดออกมาได้โดยไม่ถูกตัดสิน และอย่าลืมชมเมื่อเขากล้าพูด ไม่ว่าจะพูดดีหรือยังไม่เข้าท่า การได้รับกำลังใจแบบไม่เสแสร้งจะทำให้เด็กค่อย ๆ กล้าแสดงออกมากขึ้น เมื่อเขารู้ว่า สอนลูกให้กล้าพูดในห้องเรียน ไม่ใช่การบังคับให้เก่งทันที แต่คือการค่อย ๆ ปั้นให้กล้าขึ้นในแบบของตัวเอง
วิธีที่ 2 ให้ลูกฝึกพูดเรื่องที่ตัวเองชอบ ไม่ต้องเริ่มจากบทเรียน
พ่อแม่หลายคนใจร้อน อยากให้ลูกพูดหน้าชั้นเรื่องการบ้าน หรือรายงานวิชาการก่อน ทั้งที่ความจริงคือเราควรเริ่มจากสิ่งที่ลูกอินก่อน เช่น เกม หนังสือ หรือเรื่องราวในชีวิตประจำวัน ลองตั้งคำถามง่าย ๆ แล้วให้ลูกตอบออกมาเป็นประโยค ยิ่งเรื่องที่เขาสนุก เขาจะยิ่งพูดได้คล่อง โดยไม่รู้สึกว่า “กำลังฝึกพูดอยู่” วิธีนี้ถูกใช้โดย นักพูดมืออาชีพ หลายคน ที่มักเริ่มต้นการพูดด้วยเรื่องส่วนตัวหรือสิ่งที่รักก่อนเสมอ เมื่อเด็กเริ่มพูดได้ลื่นจากเรื่องที่ชอบ ค่อย ๆ ขยับไปยังหัวข้อที่จริงจังขึ้น การ สอนลูกให้กล้าพูดในห้องเรียน จึงไม่จำเป็นต้องเริ่มจากสิ่งยาก แค่เริ่มจากสิ่งที่เขาอยากเล่าก่อน พอมั่นใจแล้วเรื่องยาก ๆ ก็จะตามมาเองแบบไม่ฝืน
ทำไมเรื่องที่ชอบถึงช่วยให้เด็กกล้าพูดมากขึ้น
เวลาพูดเรื่องที่ชอบ สมองจะปล่อยสารโดปามีน เด็กจะรู้สึกสนุกและไม่กลัวผิด จังหวะการพูดก็ดีขึ้น น้ำเสียงก็มั่นใจขึ้น ยิ่งถ้ามีคนฟังด้วยใจเปิด ยิ่งช่วยให้เด็กกล้าเปิดปากเร็วกว่าเดิม
วิธีที่ 3 ให้ลูกเห็นตัวอย่างการพูดที่ดีจากคนรอบข้าง
เด็กเรียนรู้ผ่านการเลียนแบบมากกว่าการสอนตรง ๆ ถ้าพ่อแม่เป็นคนพูดน้อย ไม่กล้าพูดต่อหน้าคน เด็กก็จะซึมซับแบบนั้นโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น ถ้าอยาก สอนลูกให้กล้าพูดในห้องเรียน เราต้องเริ่มจากการกล้าพูดในบ้านก่อน พูดให้ฟังง่าย พูดด้วยความมั่นใจ หรือเปิดคลิป นักพูดมืออาชีพ ให้ลูกดูบ่อย ๆ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง เด็กจะซึมซับน้ำเสียง จังหวะ และความมั่นใจจากต้นแบบดี ๆ โดยไม่รู้ตัว เช่น พ่อแม่อาจเล่าเรื่องงานประจำวันให้ลูกฟัง หรือชวนเขาคุยเรื่องข่าวรอบตัว วิธีนี้เรียบง่าย แต่ได้ผลจริง เพราะเด็กจะรู้ว่า “การพูดคือทักษะที่ฝึกได้” และพอเขาเห็นว่าคนใกล้ตัวพูดอย่างมั่นใจ เขาจะอยากเป็นแบบนั้นเองแบบธรรมชาติ
เมื่อเด็กกล้าพูด เด็กจะกล้าคิด และกล้าลงมือทำมากขึ้น
พอเด็กเริ่มพูดได้ เขาจะรู้สึกว่าความคิดของเขามีค่า การแสดงออกของเขามีคนฟัง นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เด็กหลายคนจากเงียบ ๆ กลายเป็นคนกล้าแสดงออก กล้าคิด และกล้าทำ เพราะการพูดคือกระบวนการที่เชื่อมระหว่างความคิดกับการลงมือทำ การ สอนลูกให้กล้าพูดในห้องเรียน ไม่ใช่แค่เรื่องการสื่อสาร แต่เป็นการพัฒนาแก่นสำคัญในตัวเด็ก คือความมั่นใจและความเชื่อในตัวเอง และเมื่อเด็กได้เห็นแบบอย่างที่ดีจาก นักพูดมืออาชีพ หรือจากพ่อแม่ เขาจะเริ่มเชื่อว่า ตัวเขาก็พูดได้เหมือนกัน ขอแค่มีคนเปิดใจฟัง และให้โอกาสเขาได้พูด